เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565
เรื่อง พลังของจิตตานุภาพ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ครับสวัสดีครับ เข้ามากันได้ไหมครับ ค่อยๆทยอยเข้ามากันนะครับ ท่านที่เข้ามาแล้วก็กำหนดจิต ทรงอารมณ์สมาธิ วางจิตให้ผ่องใสไว้ เดี๋ยวรอเพื่อนๆอีกสักครู่หนึ่งนะครับ ค่อยๆทยอยเข้ามานะครับ เดี๋ยว มาแล้วก็ทำใจสบายๆ เสียงสัญญาณชัดเจนดีนะครับ เดี๋ยวอีกประมาณสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยเริ่มกันนะครับ
เข้ามาแล้วก็กำหนดจิตทำสมาธิสบายๆไว้ก่อน อยู่กับลมหายใจสบายๆ ผ่องใส ลมหายใจราบรื่นปลอดโปร่ง ปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่างออกไปจากใจ ผ่อนคลายร่างกาย คือตัดความห่วงใยความสนใจในร่างกายของเรา อยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมสบาย จิตสงบ ผ่องใส ราบรื่น ปลอดโปร่ง
เมื่อจิตของเราผ่องใสแล้ว จิตของเราสบายแล้ว จากสติที่กำหนดรู้ในลมหายใจสบาย จิตที่กำหนดรู้ในเวทนาคืออารมณ์สบาย เราก็ยกสติ การทรงสมาธิ ขึ้นสู่การทรงอารมณ์ของฌานสมาบัติ ทรงอารมณ์จิตที่สบาย เชื่อมสัมพันธ์กันกับภาพนิมิต ยิ่งอารมณ์จิตของเรามีความสบาย มีความสว่าง มีความสะอาดสงบเพียงใด เรากำหนด นึกภาพในจิต เห็นจิตของเราเป็นแก้วใส ไล่ขึ้นไปเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง อารมณ์ความเบิกบานของจิตสัมพันธ์กับภาพนิมิต คือรัศมีแสงสว่างแห่งจิต เป็นประกายพรึกสว่างเพียงใด อารมณ์ใจของเรายิ่งเบิกบาน ยิ่งผ่องใส ยิ่งเป็นจิตที่มีกำลัง กำหนดค่อยๆยกจิต อารมณ์ที่ผ่องใส สว่างขึ้นเรื่อยๆ พลังของจิตเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเบิกบานของจิตเรายิ่งสว่าง ยิ่งเบิกบานขึ้น สงบ ผ่องใส ในความสงบนิ่งเรากำหนดรู้ถึงพลัง กระแสพลังที่อยู่ภายในจิต ตบะของการทรงสมาธิ กสิณจิตของเรายิ่งผ่องใส ยิ่งสว่าง ยิ่งเป็นสุข ยิ่งเปี่ยมพลัง พลังที่ปรากฏนี้คือพลังของความเป็นทิพย์ จิตยิ่งเกิดจิตตานุภาพสูงขึ้นตามความสว่าง ตามอารมณ์ความเบิกบาน ความสุข ความผ่องใสของจิต ความสะอาดของจิต กำหนดทรงอารมณ์ ทั้งความรู้สึก ทั้งอารมณ์ใจ ทั้งภาพนิมิตของจิต เห็นจิตผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึก จนรู้สึกสัมผัสได้ถึง กระแสความสว่าง ความสุข ความแพรวพราวระยิบระยับของประกายพรึกที่รายรอบกายเนื้อและจิตเราคลุมอยู่ในห้องที่เราปฏิบัติธรรมอยู่ขณะนี้
กำหนดรู้สึก สัมผัสถึงกระแสพลัง กระแสของความผ่องใส ความเบิกบาน จิตสงบนิ่ง หยุดอยู่กับความผ่องใสนั้น เพาะบ่มกำลังตบะ ยิ่งจิตเราทรงอารมณ์ความผ่องใส และกระแสพลังได้มากได้นานเพียงใด กำลังแห่งจิตตานุภาพก็ถูกเพาะบ่มในจิตของเรามากขึ้นเพียงนั้น ทรงความผ่องใส ทรงความสว่าง ทรงความเบิกบานของจิตไว้ ในขณะที่เราฝึก ในขณะที่เราปฏิบัติอยู่ขณะนี้ เรายังทรงอารมณ์อยู่ เนื่องกับร่างกาย จิตยังกำหนดรู้อยู่กับกาย กำหนดความผ่องใส สว่าง ครอบคลุมในสถานที่ที่เราปฏิบัติธรรมทั้งหมด รัศมีแสงสว่างที่ปรากฏ ฟอกร่างกายธาตุขันธ์ กระแสจิตซึมซาบเอิบอาบทั่วร่างกายของเรา กำลังฌาน กำลังตบะ แผดเผาโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ทำความรู้สึกกำหนดรู้ในทั่วร่างกายของเรา รู้สึกสัมผัสว่าพลังแห่งจิตตานุภาพ พลังความสงบ ความผ่องใส ซึมซาบไปทั่วร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมดของเรา เห็นกายที่เป็นกายเนื้อ มีกระแสจิต มีความเป็นทิพย์ ซึมซาบเอิบอาบลงไปในระดับของเซลล์ เซลล์ทั่วร่างของเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เส้นเอ็น เส้นเลือด กล้ามเนื้อ อวัยวะภายในทุกส่วน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ทั้งหมดในร่างกาย ปรากฏความสว่างใสเป็นแก้วประกายพรึกไปหมด อวัยวะภายในทุกส่วน กระเพาะอาหาร ลำไส้ หลอดอาหาร หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต ถุงน้ำดี อวัยวะทุกส่วน เรารู้สึกสัมผัสมองเห็น ว่ากระแสความเป็นทิพย์ ความผ่องใส ความสว่าง เห็นอวัยวะทุกส่วน เซลล์ทุกส่วนในร่างกายของเรา เป็นเพชรประกายพรึก แม้แต่น้ำเลือดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย ก็ปรากฏเห็นธาตุน้ำ คือเลือดของเราที่ไหลเวียนเป็นเพชรประกายพรึก ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย จิตกำหนดรู้สัมผัสเห็นกายในกายของเรา เห็นในสภาวะของความเป็นทิพย์ เห็นในสภาวะที่ เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกส่วนขยับทำงานเคลื่อนไหว แต่มีกระแสจิต มีความเป็นทิพย์ เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วนมีกระแสพลังของจิตตานุภาพผนึกอยู่ ในร่างกายทั้งหมด ฟอกร่างกายธาตุขันธ์
พิจารณาดูกาย เห็นกาย และทำความรู้สึก ตระหนักรู้ถึงกระแสพลังที่ผนึกอยู่ทั่วเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา กระแสจิตความเป็นทิพย์ชำระล้างฟอกร่างกายธาตุขันธ์ ความเป็นทิพย์ของจิตผนึกอยู่ทั่วร่างกาย กำหนดจิตว่าเราเพาะบ่มจิตตานุภาพ ทรงฌานสมาบัติมากเท่าไหร่ กระแสพลัง กระแสจิต พลังจิตก็ยิ่งผนึกอัดแน่นลงสู่เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วน ฟอกธาตุขันธ์ทั่วร่างของเรามากขึ้นเพียงนั้น เตรียมพร้อมกายเนื้อของเราในการรองรับอภิญญาใหญ่ รองรับพลังจิตในระดับที่สูงขึ้นยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่เราดำรงทรงฌาน ความเป็นทิพย์ ความผ่องใส จิตทรงภาพนิมิตของกสิณเป็นเพชรประกายพรึก ร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ของเรา เราก็กำหนดเห็นเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างเป็นเพชรประกายพรึก กำลังของความเป็นทิพย์ของจิต กำลังแห่งกสิณก็ผนึกรวมลงในธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทั่วร่างกายของเรา
จากนั้นเมื่อเราพิจารณากายโดยละเอียด เห็นกายในกาย เห็นอาการ 32 เห็นธาตุ 4 เป็นเพชรประกายพรึกแล้ว เราก็กำหนดต่อไปว่า ในอาการ 32 รวมหมวดลงแล้ว ก็คือประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุดินอันได้แก่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กล้ามเนื้อต่างๆ อวัยวะต่างๆ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำอันได้แก่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำลาย เสมหะ ไขมันเหลวต่างๆ ปัสสาวะที่อยู่ในกายถือเป็นธาตุน้ำ ธาตุลมคือลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมที่พัดอยู่ภายใน ลมที่พัดอยู่เบื้องบน ลมที่พัดอยู่เบื้องล่าง ลมที่อยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร อันนี้ก็คือธาตุลม ลมที่เป็นปราณผนึกอยู่ที่ตันเถียนท้องน้อยก็คือธาตุลม ธาตุไฟคือความร้อน ไฟธาตุที่เผาผลาญอาหารต่างๆ ไฟธาตุที่ก่อให้เกิดความอบอุ่นในร่างกาย สิ่งนี้คือธาตุไฟ
ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟของเราตอนนี้เป็นเพชรประกายพรึกทั้งหมด สว่าง จากนั้นบริกรรม เห็นร่างกาย เห็นเซลล์ทั่วร่างกายของเรา พิจารณาเห็นกาย กำหนดอุเบกขาในร่างกาย แต่เรากำหนดว่ากายนี้ อวัยวะนี้ อาการ 32 นี้ ดิน น้ำ ลม ไฟในกายนี้ ปรากฏสภาวะเป็นเพชรประกายพรึก จากนั้น บริกรรม นะ มะ พะ ทะ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กำหนดจิตอันเป็นคำบริกรรมรวมอภิญญา กำหนดเห็นกายเป็นเพชรประกายพรึก เห็นเซลล์เป็นเพชรประกายพรึก เห็นร่างกายใส เห็นอวัยวะภายในเป็นเพชรประกายพรึกทั้งหมด บริกรรมภาวนาไปเรื่อยๆ นะมะพะทะ นะมะพะทะ นะมะพะทะ
กำหนดจิต ขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ในขณะที่บริกรรมกำหนดกาย เห็นกายเป็นเพชรประกายพรึกควบกับการบริกรรม “นะมะพะทะ” ขออาราธนาองค์พระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่เหนือเศียรเกล้า 1 พระองค์ ภายในศีรษะของเรา 1 พระองค์ ภายในกายของเรา 1 พระองค์ รวมเป็นพระทั้งหมด 3 ฐาน พร้อมกับบริกรรม “นะมะพะทะ” ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพ จงมาสถิตอยู่เหนือเกล้ากระหม่อมจอมขวัญ ในสมองศีรษะและภายในร่างกายของข้าพเจ้า จากนั้นให้เราทุกคนตั้งใจกำหนดเห็นกายใส อวัยวะภายในใสเป็นเพชรประกายพรึกทั้งหมด พร้อมกับภาพองค์พระทั้ง 3 ฐานไปพร้อมกัน บริกรรม “นะมะพะทะ” กำหนดจิตว่ายิ่งบริกรรม ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งใสขึ้น ธาตุในร่างกายยิ่งใสขึ้น บริกรรมไป
ใจสบาย ผ่องใส บริกรรม นะมะพะทะไว้ ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ กระแสพลัง กระแสความผ่องใสยิ่งปรากฏขึ้นเรื่อยๆ เห็นกายทะลุทั้งหมดเป็นเพชรระยิบระยับ ในขณะที่บริกรรมก็กำหนดความรู้สึก ถึงกระแสความเป็นทิพย์ ถึงกำลังแห่งพุทธานุภาพที่มาปรับธาตุ มาฟอกธาตุ ปรับธาตุขันธ์ของเราจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้ร่างกายนี้ ฟื้นคืนสู่ความแข็งแรง กำหนดในความผ่องใส ความเป็นทิพย์ของจิต
จากนั้นให้เรากำหนดต่อไป ตั้งจิตอธิษฐาน พิจารณาว่าเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ หรือขันธ์ 5 ร่างกายเนื้อไม่ใช่ตัวเราของเรา เราคือจิต หรืออาทิสมานกาย ที่มาอาศัยร่างกายขันธ์ 5 นี้อยู่เพียงชั่วคราว จิตมีสภาพเป็นพลังงาน เป็นดวง เป็นแสงสว่าง และในขณะเดียวกัน จิตเมื่ออยู่ในสภาวะการจุติแห่งภพใด จิตก็ก่อรูป เป็นอาทิสมานกายแตกต่างกันไปตามภพนั้นๆ เมื่อแยกจิตออกมาจากกายเนื้อ สภาวะของจิตที่ก่อรูปตามอาทิสมานกาย ก็เป็นไปตามอารมณ์ ตามกระแส ตามพลังงาน หากจิตเราในขณะนั้นมีความโลภ โกรธ หลง รุนแรง อาทิสมานกายก็เป็นอาทิสมานกายที่เศร้าหมองบ้าง เป็นอาทิสมานกายของเปรตอสุรกายบ้าง หากในขณะที่เรากำหนดแยกอาทิสมานกายออกมา เป็นอาทิสมานกายในอารมณ์ใจขณะที่เราเจริญพระกรรมฐาน กำหนดจิตนึกถึงบุญกุศล หรือเจริญพระกรรมฐาน ทรงฌานสมาบัติ อาทิสมานกายก็ปรากฏรูป เป็นอาทิสมานกายของเทวดาบ้าง พรหมบ้าง
แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพิจารณาตัดขันธ์ 5 ละเอียด ตัดร่างกายละเอียด ตัดสังโยชน์ 10 พิจารณาตัดภพตัดภูมิ จิตตั้งใจปรารถนาในพระนิพพานเพียงจุดเดียว เมื่อไหร่ที่อารมณ์จิตของเราในขณะนั้น สะอาด ปราศจากกิเลส ตัดวางร่างกาย ตัดวางสังโยชน์ ตัดวางจากความเกาะ ความยึดในภพภูมิต่างๆ อาทิสมานกายของเราก็ปรากฏสภาวะเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ อันเป็นสภาวะความเป็นทิพย์ปกติ รูปกายปกติของอาทิสมานกายบนพระนิพพาน ซึ่งกายแห่งพระวิสุทธิเทพนั้น คำว่าพระวิสุทธิเทพ แปลว่าเทพผู้มีความบริสุทธิ์ของจิต
ความบริสุทธิ์นี้หมายความว่าเป็นผู้ที่สะอาด สว่าง สงบ เป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากความโลภ โกรธ หลง ความอยาก ความปรารถนา ตัณหาทั้งปวง และในขณะเดียวกัน อันที่จริงแล้ว ตามสภาวะความเป็นจริง กายแห่งพระวิสุทธิเทพนั้น ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อถึงเวลาที่ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว มีสภาวะกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพเหมือนกัน แต่จะมีขนาด คือรูปองค์ใหญ่ เล็ก ตามกำลังแห่งบุญบารมีที่ท่านทำสะสมมา อันมีความต่างกัน ดังนั้นอันที่จริงแล้ว เมื่อเรากำหนดยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน หากเราตั้งใจปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สุด การที่เรากำหนด ให้จิตเราปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้จิตของเราชิน ทำให้จิตของเราตระหนักรู้ว่า เราปรารถนาในความเป็นพระวิสุทธิเทพ คือหลุดพ้นจากกำลังของสังสารวัฏ เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
ตอนนี้ก็ให้เราแต่ละคนกำหนดจิตพิจารณา เราห่วงใยในร่างกายที่เป็นกายเนื้อกายของมนุษย์ไหม เรามีความห่วงใยในกิจการหน้าที่ที่ทำคั่งค้างอยู่ไหม เราเป็นห่วง เกาะยึดติด ในบุคคลที่เป็นญาติพี่น้อง บุคคลอันเป็นสามีภรรยา บุคคลอันเป็นพ่อแม่ บุคคลที่เป็นลูกเป็นหลาน เราห่วงใยเกาะติดไหม หรือจิตเรากำหนดที่จะปล่อยวาง กำหนดและพิจารณาเห็นจริงได้ว่า เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องตาย จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ หรือเราจะเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน พระนิพพานจะไปก็ไปคนเดียว ไม่อาจพ่วง ไม่อาจพาคนอื่นได้ จิตของบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่ปรารถนาในพระนิพพาน ไม่มีผู้ใดที่จะลาก จะพาบุคคลนั้น หากบุคคลนั้นไม่ได้มีจิตตั้งมั่นปรารถนาในพระนิพพาน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาปัญญาเพื่อตัดกิเลส หรือกำลังตบะเดชะ อธิษฐานบารมีที่ตั้งจิตอธิษฐานมั่นคงไว้กับพระนิพพาน ดังนั้นคนที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ จำเป็นที่จะต้องมีบารมีทั้ง 30 ทัศเต็มพร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี อันเป็นบารมีต่างๆ แต่จุดสำคัญจุดหนึ่งที่สำคัญมากๆของอารมณ์พระนิพพานก็คือ อธิษฐานบารมี หากเราไม่ได้อธิษฐาน ตั้งจิตมั่นในพระนิพพาน ปรารถนาในพระนิพพานอย่างมั่นคง อธิษฐานยังไม่เต็มกำลัง ยังไม่เต็มใจ ยังไม่มั่นคงเด็ดเดี่ยวเป็นหนึ่งเดียว การปฏิบัติของเราก็อาจจะมีการคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตัวเราแต่ละคน จิตยิ่งอธิษฐานตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานมากเพียงใด มั่นคงอยู่กับพระนิพพานมากเพียงใด ตัวนี้จะเป็นกำลังจิตกำลังใจ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ยิ่งมีความลังเลสงสัย นั่นก็แปลว่าวิจิกิจฉาเกิด วิจิกิจฉาเกิดก็แปลว่าความสั่นคลอน ความคลอนแคลน ในความตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานมันมีความหวั่นไหว มันมีการแกว่งตัว อุปมาเหมือนเสาที่ปักลงไปในขี้เลน มันมีการแกว่ง โยกไปโยกมา ไปดีไม่ไปดี ไปได้ไปไม่ได้ ยิ่งแกว่งไปแกว่งมา ก็เท่ากับ เหมือนกับ การโยกเสาในขี้เลน โยกมากเข้า โยกมากเข้า ท้ายที่สุดก็หลุดจากเป้าหมาย เสาที่ปักไว้ เป้าหมายที่ตั้งไว้ จิตที่อธิษฐานไว้ก็หลุดจากอารมณ์ที่ปรารถนาในพระนิพพาน
อันนี้สำหรับคนที่ยังไม่เข้าถึงอารมณ์แห่งพระโสดาบัน ยังเป็นผู้ที่ยังมีความหวั่นไหว ยังมีการถอย แต่หากเมื่อไหร่ที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือแม้แต่การที่ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้โสดาปัตติมรรค เมื่อนั้นคำว่าพระโสดาบัน แปลว่า เป็นผู้ที่ไม่ถอยกลับ คือตั้งจิตไปพระนิพพานแล้ว ไม่ถอยกลับมาสู่ความเป็นปุถุชน คือไม่เอาละ ไม่ไปดีกว่า จริงๆ พระโสดาบันจะไม่มีอารมณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่เพียงว่า กำลังจิต กำลังใจมีความเข้มข้นมากน้อย หวั่นไหวมาก ไปได้ไปไม่ได้ มัวแต่ไปได้ไปไม่ได้ กับอารมณ์จิตที่ว่าห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ก็จะกลายเป็นพระโสดาบันประเภทที่ยังต้องเกิดอีกเจ็ดชาติบ้าง สามชาติบ้าง แต่หากอารมณ์ใจของบุคคลนั้นมันมีความเด็ดเดี่ยวอยู่กับการปฏิบัติ อยู่กับพระนิพพาน จิตมั่นคงว่าชาตินี้ไปนิพพานแน่นอน อารมณ์จิตถ้าสังเกตดู ให้เราดูอารมณ์นะ เจโตปริยญาณ คือรู้วาระจิต เปรียบเทียบระหว่างคนที่ยังมีความศรัทธาคลอนแคลนอธิษฐานยังไม่มั่นคง กับคนที่จิตปักมั่นคงเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหว อารมณ์จิตมันจะมีอารมณ์ที่เรียกว่า อารมณ์ปัก อารมณ์มั่นคงแตกต่างกัน อุปมาเหมือนเสาที่ปักลงไปเป็นฐานซิเมนต์ เป็นซีเมนต์ที่หล่ออย่างดี ผูกเหล็กเสริมคาน ฝังดินลึกมั่นคง ไม่มีสิ่งใดที่จะมาโยกคลอน ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้ท้อถอยลงได้ คำอุปมาดังกล่าวนี้
ก็ให้เราน้อมพิจารณารวมลงสู่จิตของเรา ว่าอารมณ์จิตของเรา กำหนดนิมิตในจิตว่า เสาที่เราอธิษฐานจิตในพระนิพพาน โยกดูแล้ว มันยังคลอนหรือมั่นคงแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว ตอนนี้ก็ให้กำหนดของเรานะ มั่นคงไหม อาจารย์ก็ตามดูด้วย บางคนก็ยังมีโยกๆได้บ้าง บางคนก็โยกได้มาก บางคนก็โยกได้นิดๆ บางคนนี้มั่นคงเด็ดเดี่ยวหัวเด็ดตีนขาด เรียกว่าไม่หวั่นไหว เป็นเสาหินที่ไม่อาจโยกคลอนได้ ก็ขอโมทนาสาธุกับทุกคน แต่อย่างน้อยการที่เรา ปักจิตอธิษฐานอยู่กับพระนิพพานแล้ว ก็ยังถือว่าเรามีคติที่ไป เรามีเป้าหมาย การปฏิบัติที่เราสะสม เพาะบ่ม ยิ่งฝึกมากเข้า นานเข้า ก็ยิ่งทำให้เสาที่เราปักจิตอธิษฐานอยู่กับพระนิพพานนั้น มีความมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น จนในที่สุดก็เป็นชิ้นเดียว เป็นหนึ่งเดียว ปักแน่นในจิตเรา คือมีพระนิพพานเป็นที่สุด ให้เรากำหนดพิจารณา ว่าจิตของเราตอนนี้ ยิ่งเข้าใจลึกซึ้ง ยิ่งมั่นคงเด็ดเดี่ยวกับพระนิพพาน วางอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใส
กำหนดจิตนะตอนนี้ ยกจิตขึ้นไป ยกอาทิสมานกาย ทรงสภาวะในกายแห่งพระวิสุทธิเทพปรากฏอยู่บนพระนิพพาน เมื่อทรงอารมณ์ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานแล้ว ก็ให้พิจารณา พิจารณาไว้เสมอ ว่าเมื่อเรายกจิตมาบนพระนิพพานแล้ว ถามตัวเราเอง ถ้าเราตายในขณะนี้ การพิจารณาแบบนี้ก็คือ มรณานุสติ ถ้าเราตายไปขณะนี้ เรายังห่วงร่างกายไหม ห่วงบ้านห่วงช่อง ห่วงสมบัติ ห่วงลูก ห่วงหลานไหม วิธีพิจารณาเช่นนี้ เวลาที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ให้เราพยายามยกเอาสิ่งที่เรารักที่สุด ผูกพันที่สุดมาพิจารณา หรือแม้แต่อาหารที่เราชอบกินที่สุด สถานที่ที่เราชอบผูกพันมากที่สุด กิจกรรมที่เราชอบทำมากที่สุด มาพิจารณาว่า เราจะไม่ได้ไปในสถานที่เช่นนี้อีกแล้ว เราจะไม่ได้กินอาหารแบบนี้อีกแล้ว เราจะไม่ได้พบเจอกับบุคคลเหล่านี้ในสภาวะของการเป็นมนุษย์เหมือนกันอีกแล้ว เราจะไม่ได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้อีกแล้ว เราจะไม่ทำเราจะไม่ได้ทำสิ่งที่เราชอบทำ ผูกพันเหมือนเดิมอีกต่อไปอีกแล้ว เพื่อพระนิพพาน ให้เราพิจารณาว่าเราตัดได้ไหม พิจารณาไว้ทุกวันทุกครั้งที่เราขึ้นมา เพื่อลด เพื่อวาง ความเกาะ ความยึด ยิ่งสิ่งใดที่เรารัก สิ่งที่เรารัก
ขึ้นชื่อว่ารัก ย่อมก่อให้เกิดความผูกพัน ความผูกพันนั้น มันก็คือสายใย คือเชือกที่ล่ามที่ดึงเราไปเกิด ผูกพันกับพญานาคมาก ผูกพันกับภพพญานาคมาก จิตที่ผูกพัน ก็เป็นเชือกที่ลากดึงให้จิตเราไปจุติไปเกิดเป็นพญานาค จิตที่ผูกพันกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยความรักก็ดี ด้วยความโกรธความเกลียดชังก็ดี ยิ่งความอาฆาต ความพยาบาท การจองเวร ยิ่งเป็นเชือก เป็นโซ่เส้นใหญ่ ที่ผูกรั้งให้จิตของเราต้องไปเกิด ไปพบ ไปเจอกับบุคคลเหล่านั้นอีก ยิ่งเกลียดยิ่งพบ ยิ่งอาฆาตยิ่งพบยิ่งเจอ ทางเดียวที่จะต้องพ้นจากกันไปได้ก็คือ ต้องให้อภัยทาน ต้องอโหสิกรรม ให้กลายเป็นโมฆะกรรม สลายการเป็นเจ้ากรรมนายเวรไม่ต้องมาพบมาเจอ หรือจุดที่ทำให้จากกันได้ดีที่สุดก็คือ เราเป็นฝ่ายลาไปพระนิพพาน พอถึงเวลา บุคคลอื่นที่เขาอาฆาตพยาบาทจองเวรเรา ถึงเวลาไม่มีโจทก์ ไม่มีบุคคลให้จองเวรเพราะบุคคลนั้นไปพระนิพพานเสียแล้ว บุคคลผู้นั้นก็ไม่มีเครื่องยึด เครื่องดึงที่จะลากจูงไปเกิดไปพบไปเจออีก ที่จะมาตามจองเวรเราอีก เพราะหาไม่เจอซะแล้ว
ดังนั้น หากเราคิดพิจารณาดูให้ดี การที่เราทำความเข้าใจในเรื่องของความโกรธ ความพยาบาท เราย่อมไม่อยากเจอคนที่เราไม่ชอบหรือคนที่เขาไม่ชอบเรา บางครั้งการที่เราจะตัดกลับกลายเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าสำหรับคนที่เข้าใจธรรมะสูงขึ้นในเรื่องของความโกรธ เข้าใจในเรื่องของการเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราอยากละ เราอยากล้าง เราอยากลบบัญชี เราอยากให้เป็นโมฆะกรรมให้เร็วที่สุด มากที่สุด แต่ตัวที่เป็นฝ่ายดึงให้ก่อภพ ก่อชาติมากกว่า แล้วเราเป็นฝ่ายที่ไม่อาจที่จะหลุดจากพันธนาการได้ก็คือความรัก ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้ ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราอยากเจอ ไปเจอแล้ว เขาดีกับเรา เราก็ชื่นอกชื่นใจ อยากเจอบ่อยๆ อยากเจอนานๆ เมื่อไหร่สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เป็นคนรักของเรา เราไปพบไปเจอ เขาแสดงสีหน้าไม่ชอบเรา ขัดเคืองใจเรา เราก็ทุกข์ เพราะเขาไม่รักเราตอบ แต่เราก็ยังอยากอยู่ใกล้เขา อยากให้เขารักเรา ท้ายที่สุดเครื่องที่พันธนาการและถอนได้ยาก อันที่จริงแล้วคือความรัก ยิ่งเมื่อไหร่ก็ตาม เป็นความรัก ระหว่างบิดามารดากับบุตรก็คือลูก ความรักที่เรายิ่งผูกพันกับลูกของเรา หลานของเรา ยิ่งผูกพันมากก็ห่วงมาก ห่วงมากก็ทุกข์มาก พิจารณาดูให้ดีว่าการที่เราไม่หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะความรักมากกว่าด้วยซ้ำไป พิจารณาดูว่า หากเรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว ความรักที่มันเป็นเรื่องของระหว่างเพศก็ดี ความรักระหว่างบุคคลก็ดี คิดพิจารณาว่าความรักในแบบนั้น มันเป็นความรักที่ยังต้องประกอบไปด้วยเงื่อนไข อยากให้เขารักเราตอบ อยากให้เขาดีกับเรา อยากให้เขาพูดคำหวานกับเรา อยากให้เขาดูแลเราดีๆ หรือเราก็เป็นฝ่ายที่อยากดูแลเขา อยากเห็นเขามีความสุข เป็นความรักที่ยังมีเงื่อนไข แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ความรัก มันเปลี่ยนเป็นอุเบกขา พ่วงกันกับเมตตา ซึ่งอุเบกขามันจะมีมากกว่า เมตตาปรารถนาดี เป็นความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข อารมณ์จิตเมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว จิตจะมีความปรารถนาในเมตตาอย่างเดียว คือปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ คือพ้นภัยจากสังสารวัฏเช่นเดียวกับที่เราพ้นมาแล้ว ดังนั้น ถึงเวลา เราจะพบว่าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่บนพระนิพพาน ท่านอยากช่วยเหลือ ท่านอยากสงเคราะห์เรา เต็มที่เต็มกำลังเสมอ เพราะอารมณ์จิตนี้เป็นอารมณ์จิตที่ท่านเป็นเมตตา และหากเราขี้เกียจเราไม่ขยัน ท่านก็อุเบกขา อันนี้ก็เป็นเรื่องเป็นอารมณ์ปกติของท่านที่เข้าถึงความเป็นพระวิสุทธิเทพ แต่ถามว่าท่านห่วง แต่ห่วงโดยที่จิตของท่านไม่ทุกข์อีกต่อไป
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก พระพุทธองค์และทุกท่านบนพระนิพพานชี้ทางและช่วยเราเต็มที่เต็มกำลังแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย เหตุนี้มโนมยิทธิจึงได้ชื่อว่ามโนมยิทธิครึ่งกำลัง ครึ่งกำลังก็คือพระท่านช่วยครึ่งนึง ตัวเราจะต้องออกแรง มีความพยายาม มีความพยายาม มีความพากเพียรอีกครึ่งหนึ่ง ให้สมกับที่ท่านช่วย ดังนั้นตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิต กำหนดในความเป็นพระวิสุทธิเทพยกจิตขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพานตลอดรวมถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลาย น้อมกราบด้วยความเคารพ พิจารณาว่า จิตข้าพเจ้าไม่ห่วงในร่างกายเนื้อนี้ ไม่ห่วง ไม่ยึดเกาะ ในบุคคลทั้งหลาย ในกิจการทั้งหลาย ในภาระทั้งหลาย ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่อาจพันธนาการดวงจิตของข้าพเจ้าไว้ในสังสารวัฏได้อีกต่อไป กิเลสเครื่องล่อทั้งหลาย ความเพลิดเพลินทั้งหลายในสังสารวัฏ ไม่อาจเย้ายวนใจข้าพเจ้าอีกต่อไป ความหลงในความสุข ความหลงในรส ความหลงในรูป ความหลงในผัสสะ ความหลงและอวิชชาทั้งหลาย ไม่อาจหลอกล่อ ไม่อาจลวงใจข้าพเจ้าได้อีกต่อไป
กำหนดจิต ว่าข้าพเจ้าขอน้อมจิต อยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน อารมณ์จิตของเราผ่องใสอย่างยิ่ง ปล่อยวางอย่างยิ่ง
กำหนดความรู้สึกเห็นอาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพของเรา นั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว สว่าง กำหนดบริกรรมและกำหนดความรู้สึกอารมณ์พระนิพพาน กำหนดจิต นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดเห็นอาทิสมานกายนั้น สว่าง สว่างขึ้นเต็มกำลัง บัลลังก์ดอกบัวแก้วสว่างเต็มกำลัง ใจสบาย ผ่องใส นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตเอิบอิ่ม แช่มชื่น เบิกบาน อาทิสมานกาย สว่าง บริกรรม กำหนดว่ายิ่งเราทรงอารมณ์บนพระนิพพานนานเท่าไหร่ จิตเรายิ่งชิน ยิ่งซึมซับกระแสจากพระนิพพานรวมลงสู่ใจ กิเลสทั้งหลายค่อยๆถูกชำระล้างถอดถอนออกไปจากใจของเรา นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ไว้ ใจเบิกบาน สว่าง จิตเบิกบาน สว่าง นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง พิจารณาดูจิตของเรา ว่าความห่วงทั้งหลาย ณ ขณะนี้ สลายไปหมด ความเกาะในภพทั้งหลายในขณะนี้สลายไปหมด จิตเป็นอิสระ ความสุขของอารมณ์พระนิพพานคืออารมณ์ที่เราวางว่าง จากความห่วง ความเกาะ ความยึดทั้งปวง เป็นสุขจากความรู้แจ้ง ปัญญาในธรรม ที่เห็นรู้เท่าทันความทุกข์ในสังสารวัฏ จิตรู้เท่าทันในกิเลสอุบายเครื่องล่อที่ผูกเราไว้อยู่กับภพภูมิต่างๆ อยู่กับความสุขทั้งหลาย
กำหนดใจของเรา ขอปัญญาความรู้แจ้ง จงตื่นขึ้นสู่จิตของข้าพเจ้า ยิ่งอยู่บนพระนิพพานมากเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ ขอความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้แจ้งแทงตลอด เข้าใจในธรรมทั้งปวง จงปรากฏขึ้นภายในจิตของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ
ใจสบาย ผ่องใส นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อใจเราผ่องใสแล้ว ตอนนี้ก็ให้เราค่อยๆกำหนดจิต กราบลาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งใจน้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพาน กำหนดน้อมเห็นเป็นลำแสง พุ่งตรงลงมา ยังเคหะสถานบ้านเรือนของเราทุกคนที่เรานั่งสมาธิอยู่ เป็นกระแสจากพระนิพพานส่องตรงลงมายังกายเนื้อของเราทุกคน กำหนดน้อมอาราธนา ว่าข้าพเจ้าขออาราธนากระแสจากพระนิพพาน กระแสแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เป็นกระแสพลังงาน อาราธนาลงมายังวัดวาอารามทั้งหลายทั่วโลก จะเป็นประเทศใดก็ตาม ขออาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมายังสถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสปฏิบัติ พระปฏิบัติ แม่ชีปฏิบัติ ขออาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมายังพระบรมธาตุเจดีย์ พระเจดีย์ทุกแห่ง กำหนดอาราธนาบารมี พุทธานุภาพลงมายังวัตถุมงคลทุกชิ้นบนโลกใบนี้ สถานที่เดิม พระที่ถูกฝังอยู่ ซ่อนอยู่ ขอกระแสแห่งพุทธานุภาพ กระแสจากพระนิพพานจงส่งตรงลงมาเป็นกระแส เป็นพลังงานลงมา ขอธรรมธาตุ ขอพลังความศักดิ์สิทธิ์แห่งกำลังพุทธคุณ ขอจงค่อยๆตื่นขึ้น ปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ ความขลัง ความอัศจรรย์ ข้าพเจ้าในฐานะที่ยังมีร่างกายเนื้ออยู่บนโลกมนุษย์ ขอน้อมเป็นผู้ช่วยเชื่อมโยง เป็นกำลังจิต ในการปลุกฟื้นคืนกำลังแห่งพระพุทธศาสนา ให้กลับคืนมาเจริญรุ่งเรืองคล้ายดั่งสมัยพุทธกาล และสืบต่อพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงาม มีผู้ได้มรรคผลต่อเนื่อง ไปตราบเท่า 5,000 พระวัสสาด้วยเทอญ
ขอจิตที่ข้าพเจ้าทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานนี้ อาราธนากำลังแห่งพระนิพพาน กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญทั้งหลายจากพระนิพพาน ลงมาสู่โลก สร้างความร่มเย็นเป็นสุข สร้างความเจริญ ให้กระแสพลังงานทั้งหมด ผลักดันให้โลกนี้เคลื่อนเข้าสู่ยุคชาววิไลโดยเร็ว ใจสบาย ผ่องใส กำหนดนะในจิตของเรา เห็นเส้น เห็นกระแส จากพระนิพพานเป็นลำแสง ถ้าเรากำหนดดู กำหนดที่บ้านเรา ก็เห็นลำแสงพุ่งลงมายังพระพุทธรูป วัตถุมงคลทุกชิ้นในบ้านเราเต็มไปหมด ลงมากลางกระหม่อม ลงมาที่กายเนื้อของเราด้วย หากกำหนดดูภาพรวมก็เห็นเส้น เห็นกระแสจากพระนิพพานพุ่งตรงลงมายัง พระเจดีย์ทั้งหลาย วัดทั้งหลาย ในวัดพระแก้ว ศาลหลักเมือง พระบรมธาตุทั้งหลาย พระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั้งหลาย มีลำแสงสว่างปรากฏอัศจรรย์ พลังกระแสจากพระนิพพาน อาราธนาลงมา แม้ในต่างประเทศก็กำหนดน้อมจิตเห็น คนไหนปฏิบัติธรรมอยู่ในต่างประเทศก็ยังเห็นลำ เห็นกระแสจากพระนิพพาน เป็นลำ เป็นเส้น ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็อธิบายว่าเป็น Energy piping เป็นลำแสงพลังงาน เป็นเส้นแสงพุ่งตรงลงมา
กำหนดใจของเราว่า กระแสจากพระนิพพานนี้ ขอให้บรรดาดวงจิตทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลายได้โมทนาสาธุ ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย เมื่อได้เห็น ได้สัมผัสในกระแสบุญจากพระนิพพาน อันคือทาน ศีล ภาวนา บารมีทั้ง 30 ทัศของทุกท่านที่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว รวมทั้งหมดเป็นกระแสบุญจากพระนิพพานของทุกท่าน รวมเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ ส่องตรงลงมา อาราธนาน้อมลงมายังโลก แสงสว่าง รายรอบเต็มไปหมด ทั่ววัดวาอาราม ความบริสุทธิ์ กระแสธรรม กระแสแห่งมรรคผล ขอจงปรากฏมากขึ้น ยิ่งขึ้นอย่างอัศจรรย์ ขอให้มีผู้ปฏิบัติธรรม สนใจในการปฏิบัติธรรม เข้ามาปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพิ่มขึ้น ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง ปฏิบัติได้ผล ปฏิบัติจนได้มรรคผล มากขึ้น เพิ่มขึ้น และเราน้อมจิตกำหนดนะ สิ่งที่เราทั้งหลายน้อมจิตอธิษฐาน หากเป็นสิ่งที่ชอบ หากเป็นสิ่งที่ควร ก็ขอให้พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพพรหมทั้งหลายโมทนาสาธุ เป็นมหาสาธุการด้วยเถิด
น้อมใจของเรานะ ให้มีความแช่มชื่น ให้มีกำลังใจ ใจเราผ่องใส ใจเราเป็นสุข
จากนั้นก็กำหนดจิตนะ ว่าขอให้การปฏิบัติ ของข้าพเจ้านี้จงทำให้เป็นกำลังบุญหนุนนำให้โลกนี้ ให้ประเทศไทย สยามประเทศ ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไลโดยพลัน และขอให้ผลบุญเจตนาอันดีงามนี้ ทำให้ข้าพเจ้าทุกคนมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรม เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ ให้มีโอกาสได้สร้างบารมีช่วยเหลือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเกื้อกูลตัวเอง ครอบครัว ให้มีความคล่องตัวทุกอย่างทุกประการ และขอให้กระแสจากพระนิพพานนี้เป็นเกาะแก้วชำระล้างสลายโรคภัยไข้เจ็บ ให้ร่างกายข้าพเจ้ามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่าง ขอให้มีแต่สิ่งดีๆหลั่งไหล โภคทรัพย์ มหาโภคทรัพย์ จงหลั่งไหลเข้ามาสู่ข้าพเจ้าทุกคน ในทุกทิศทุกทาง ในทุกๆวัน ขอจงมีความคล่องตัวทุกอย่าง
จากนั้นก็ให้เราทำกำลังใจสบายๆ หายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ
กำหนดใจของเรา ว่ามีกระแสของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์คุ้มครองรักษา
กำหนดจิตต่อไปว่าเราขอโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมทุกคน รวมถึงทุกท่านที่มาฟังภายหลัง ก็ขอให้ได้กำลังความก้าวหน้า กระแสมรรคผลพระนิพพาน กระแสแห่งโภคทรัพย์ มหาโภคทรัพย์ ความคล่องตัวทุกอย่าง แล้วก็ขอให้กระแสจิตของผู้ปฏิบัติทุกคนจงก่อให้เกิดความสุข ความสามัคคีในหมู่คณะ ให้รวมตัว รวมจิตเป็นอภิจิต สร้างความดี มั่นคงเติบโตได้ตลอดไป
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาสาธุกับทุกท่านด้วยนะครับ ก็ขอให้ทุกคนมีความเจริญ มีความมั่นคง มีความคล่องตัวและมีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง พบกันใหม่ในวันอาทิตย์หน้า แล้วก็พยายามที่จะตั้งจิตอธิษฐานเขียนแผ่นทองอธิษฐานไว้เสมอนะครับ ช่วยกันสร้างความดีให้กับตัวเองและส่วนรวม สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
ถอดความและเรียบเรียงโดย : Be Vilawan